บมจ.เอแอลที เทเลคอม หรือ ALT เคาะขายไอพีโอ 4.70 บาท เตรียมเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 24 และ 27-28 มิ.ย. ก่อนลงสนามเทรดใน SET หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในวันที่ 4 ก.ค.นี้ สองกุนซือมือทอง “สมภพ กีระสุนทรพงษ์” แท็กทีม “วรชาติ ทวยเจริญ” มั่นใจด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จะทำให้หุ้น ALT ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ด้านผู้บริหารคนเก่ง “ปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์” ระบุอนาคต ALT ไปได้อีกไกล เหตุจะนำเงินทุนไปขยายการลงทุนโครงข่ายโทรคมนาคมให้เช่าโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยว่า บริษัทได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 250 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาหุ้นละ 4.70 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 24 และวันที่ 27 – 28 มิถุนายน นี้ และคาดว่า ALT จะเข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “ALT” การเสนอขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ บริษัทได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 7 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด (มหาชน)
“การกำหนดราคาไอพีโอของ ALT ที่ 4.70 บาทต่อหุ้น ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยที่ราคาไอพีโอนี้มียอดจำนวนหุ้นที่นักลงทุนสถาบันแสดงความประสงค์จะจองซื้อเกินกว่าจำนวนที่จัดสรรถึง 12 เท่า เมื่อผนวกกับปัจจัยสนับสนุนหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการผู้นำในการจำหน่ายสินค้าและให้บริการด้านโทรคมนาคมอย่างครบวงจร การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกับผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม ผลการดำเนินงานมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ศักยภาพการเติบโตจากธุรกิจให้เช่าโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมในอนาคต โดยบริษัทอยู่ระหว่างการลงทุนในโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงให้เช่าบนแนวเสาโทรเลขตามทางรถไฟ ซึ่งจะทำให้ ALT เป็นผู้ให้เช่าโครงสร้างพื้นฐานที่มีโครงข่ายพร้อมให้บริการลูกค้าครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย รวมถึงการขยายการลงทุนของผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม (Telecom Operators) ซึ่งอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้งบลงทุนสูงเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการให้บริการอยู่ตลอดเวลา ปัจจัยดังกล่าวล้วนสนับสนุนให้ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน และจะทำให้หุ้น ALT ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุน”” นายสมภพ กล่าว
ขณะที่นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะ ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ราคาไอพีโอที่กำหนดไว้ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีความน่าสนใจอย่างมาก เนื่องจาก ALT เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมแบบครบวงจร ประกอบธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคู่ค้าได้อย่างดีเยี่ยม และผลประกอบการที่ผ่านมาในปี 2556-2558 มีกำไรสุทธิโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 109.54% และยังมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 14% ในปี 2556 เป็น 42.62% ในปี 2558 และ 47.26% ในไตรมาส 1/59 แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความสามารถ ในการทำกำไรของ ALT อยู่ในระดับที่ดีมาก
ด้านนางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT ผู้ประกอบธุรกิจโทรคมนาคมแบบครบวงจร กล่าวว่าบริษัทฯจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จำนวน 1,175 ล้านบาท ไปใช้เพื่อลงทุนในโครงการวางโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงให้เช่าบนแนวเสาโทรเลขตามทางรถไฟจำนวน 250 ล้านบาท ชำระคืนเงินกู้ยืมจำนวน 600 ล้านบาท และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ALT มีการขยายตัวอย่างมากทุกปี โดยในปี 2556 มีรายได้จากการดำเนินงาน 1,916.81 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 50.14 ล้านบาท ปี 2557 มีมีรายได้จากการดำเนินงาน 1,806.79 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 100.94 ล้านบาท และปี 2558 มีมีรายได้จากการดำเนินงาน 2,600.20 ล้านบาท และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 220.16 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/2559 มีรายได้จากการดำเนินงาน 575.34 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 64.73 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 11.14%