ALT พบผู้ลงทุนในงาน Opportunity Day ชี้ทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2565 แนวโน้มสดใส เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุน เผยมีงานรอรับรู้รายได้หรือ Backlog ในมือกว่า 1.3 พันล้านบาท ย้ำผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว เดินหน้าสู่เป้าหมาย ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน ”ธุรกิจดิจิทัล-พลังงานทดแทน”
บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT ได้นำเสนอข้อมูลผลประกอบการไตรมาส 4 /2564 และทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day)เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2565 โดยนางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ ALT ให้ความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2565 จะเป็นปีที่ดีของ ALT เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์และเป็นจุดเทิร์นอะราวด์ของผลประกอบการ โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ(Backlog) ประมาณ 1.3 พันล้านบาท
“ที่ผ่านมา ALT ได้มีการลงทุนมูลค่าสูงมากในการวางโครงข่ายพื้นฐานรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต และก็ได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว เราจึงเชื่อมั่นว่าในปีนี้ จะเป็นปีที่ดี ปีแห่งการเก็บเกี่ยว” นางปรีญาภรณ์ กล่าว
กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทเอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) อธิบายต่อว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการลงทุนค่อนข้างมากในการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม มาสู่โครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจดิจิทัล-พลังงานทดแทน เพื่อสร้าง New S-curve และปีนี้ก็จะเริ่มมีการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุน ทั้งในส่วนของสถานีชายฝั่งเชื่อมต่อเคเบิลใต้น้ำ, ธุรกิจเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ธุรกิจแพลตฟอร์มอัจฉริยะ, ธุรกิจพลังงานอัจฉริยะ (Smart Grid & Smart Energy)
นอกจากนี้บริษัทยังได้รับอานิสงส์จากนโยบายของภาครัฐที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ASEAN Digital Hub ซึ่งมีโอกาสสูงมาก เมื่อพิจารณาจากการดำเนินนโยบาย เช่น EEC ที่ให้สิทธิประโยชน์การลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ไทยเป็นจุดกึ่งกลางมากที่สุดในการเชื่อมตะวันออกและตะวันตก จากยุโรป ไปญี่ปุ่น มีพื้นที่ติดต่อชายแดนหลายประเทศ ลาว กัมพูชา สามารถวางโครงข่ายโทรคมนาคมเชื่อมต่อไปยังประเทศที่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่สำคัญของโลก และเชื่อมต่อโดยตรงไปยังภูมิภาคอื่นๆ ประกอบกับประเทศสิงคโปร์ มีปัญหาเรื่องไฟฟ้าไม่พอใช้ ห้ามลงทุนเพิ่ม ทำให้บริษัทผู้ให้บริการด้านข้อมูลและธุรกิจออนไลน์รายใหญ่ (Hyperscaler) ต้องหาที่ลงทุนตั้งฐานข้อมูลสำรอง และสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดย Hyperscaler รายใหญ่ของโลก 4 ราย ได้ให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และปัจจุบัน มี Hyperscaler 1 รายเลือกใช้โครงข่ายของ ALT ส่วนรายที่ 2 กำลังเจรจาคาดจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งแต่ละบริษัทจะสร้างรายได้ให้มากกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับสัญญาระยะยาว 15 ปี
ขณะเดียวกัน จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศไทยมีการใช้โซเชียลมีเดียสูงที่สุดในภาคธุรกิจตื่นตัวนำเทคโนโลยีดิจิทัล ที่สมัยใหม่เข้าไปเปลี่ยนโฉมการดำเนินธุรกิจ เพื่อหาโอกาสจากตัวขับเคลื่อนใหม่ ๆ (New growth driver) แต่กว่าจะมาเป็นออนไลน์ ดิจิทัล และแพลตฟอร์ได้ จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานของโทรคมนาคม ซึ่งการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ALT ถือว่าได้รับประโยชน์โดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว